วางแผนรัฐประหาร ของ แผนลับ 20 กรกฎาคม

ดูบทความหลักที่: ปฏิบัติการวัลคือเรอ

บุคคลสำคัญ

ชเตาเฟินแบร์คเข้ากับผู้ก่อการ

เมื่อถึงกลาง ค.ศ. 1943 เยอรมนีเป็นฝ่ายเสียเปรียบในสงครามอย่างเด็ดขาดแล้ว ผู้คบคิดกองทัพบกและพันธมิตรพลเรือนเชื่อว่าฮิตเลอร์ควรถูกลอบสังหาร เพื่อให้สามารถตั้งรัฐบาลที่ฝ่ายสัมพันธมิตรตะวันตกยอมรับได้ และมีการเจรจาสันติภาพต่างหากเพื่อป้องกันมิให้โซเวียตบุกครองเยอรมนี ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1943 เทร็สโคพบนายทหารหนุ่ม ชื่อ พันเอก เคลาส์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์คเป็นครั้งแรก เคานต์ ฟ็อน ชเตาเฟินแบร์คเป็นพวกอนุรักษนิยมทางการเมือง พวกชาตินิยมเยอรมันหัวรุนแรงและคริสเตียนโรมันคาทอลิก เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในแอฟริกาเหนือ ตั้งแต่ต้น ค.ศ. 1942 เขาได้แลกเปลี่ยนความเชื่อมั่นกับนายทหารอีกหลายคนสองเรื่องพื้นฐาน หนึ่งคือเยอรมนีกำลังถูกนำไปสู่หายนะ สองคือการโค่นอำนาจฮิตเลอร์เป็นสิ่งจำเป็น หลังยุทธการที่สตาลินกราดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1942 เขาสรุปว่าการลอบสังหารฮิตเลอร์ชั่วร้ายน้อยกว่าการปล่อยให้ฮิตเลอร์ครองอำนาจ แม้ขัดต่อศีลธรรมศาสนาของเขา ชเตาเฟินแบร์คนำบรรยากาศความเด็ดขาดใหม่มาสู่บรรดาขบวนการต่อต้าน เมื่อเทร็สโคได้รับคำสั่งไปยังแนวรบด้านตะวันออก ชเตาเฟินแบร์คจึงรับผิดชอบการวางแผนและปฏิบัติความพยายามลอบสังหาร

แผนใหม่

ขณะนี้อ็อลบริชท์เสนอยุทธศาสตร์ใหม่สำหรับจัดรัฐประหารต่อฮิตเลอร์ กองทัพหนุน (แอร์ซัทซ์แฮร์) มีแผนปฏิบัติการเรียก ปฏิบัติการวัลคือเรอ ซึ่งตั้งใจใช้ในเหตุการณ์ที่การทิ้งระเบิดนครเยอรมันของฝ่ายสัมพันธมิตรทำให้เกิดการขัดขวางจนไม่สามารถรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย หรือแรงงานบังคับหลายล้านคนจากประเทศที่ถูกยึดครองซึ่งปัจจุบันถูกใช้ในโรงงานของเยอรมนีก่อการกำเริบ อ็อลบริชท์เสนอว่า สามารถใช้แผนนี้ระดมกองทัพหนุนเพื่อจุดประสงค์รัฐประหารได้ ในเดือนสิงหาคมและกันยายน ค.ศ. 1943 เทร็สโคร่างแผนวาลคีรี "ทบทวน" และคำสั่งเพิ่มเติมใหม่ คำประกาศลับเริ่มต้นด้วยคำเหล่านี้: "ฟือแรร์อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เสียชีวิตแล้ว! กลุ่มผู้นำพรรคทรยศพยายามแสวงหาประโยชน์จากสถานการณ์โดยโจมตีทหารพร้อมรบของเราจากข้างหลังเพื่อยึดอำนาจเป็นของตน" มีการเขียนคำสั่งละเอียดสำหรับการยึดกระทรวงในกรุงเบอร์ลิน สำนักงานใหญ่ของฮิมเลอร์ในปรัสเซียตะวันออก สถานีวิทยุและสำนักงานโทรศัพท์ และกลไกนาซีอื่นทั่วทั้งมณฑลทหารและค่ายกักกัน[11] เดิมเชื่อกันว่าชเตาเฟินแบร์คเป็นผู้รับผิดชอบหลักของแผนวาลคีรี แต่เอกสารที่ได้จากสหภาพโซเวียตหลังสงครามและเผยแพร่ใน ค.ศ. 2007 เสนอว่า เทร็สโคพัฒนาแผนดังกล่าวในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ. 1943[12] เอรีคา ภรรยาของเทร็สโค และมาร์การีเทอ ฟ็อน โอเฟน เลขานุการของเขา เป็นผู้จัดการสารสนเทศลายลักษณ์ทั้งหมด หญิงทั้งสองสวมถุงมือเพื่อไม่ให้ทิ้งรอยนิ้วมือ[13] ปฏิบัติการวาลคีรีสามารถใช้บังคับได้เฉพาะพลเอกอาวุโส ฟรีดริช ฟร็อม ผู้บัญชาการกองทัพหนุน ฉะนั้นเขาต้องถูกดึงมาเป็นพวกหรือให้เป็นกลางเพื่อให้แผนสำเร็จ ฟร็อม เช่นเดียวกับนายทหารอาวุโสคนอื่นอีกหลายคน ทราบโดยรวมว่ามีการสมคบทางทหารต่อฮิตเลอร์ แต่มิได้ทั้งสนับสนุนและรายงานต่อเกสตาโพ

ความพยายามล้มเหลวที่ผ่านมา

ระหว่าง ค.ศ. 1943 ถึงต้น ค.ศ. 1944 เทร็สโคและชเตาเฟินแบร์คพยายมอย่างน้อยสี่ครั้งเพื่อให้ผู้ก่อการทหารคนหนึ่งเข้าใกล้ฮิตเลอร์มากพอและนานพอที่จะสังหารเขาด้วยระเบิดมือ ระเบิดหรือปืนพกลูกโม่ ทว่า ภารกิจนี้ยากขึ้นเป็นลำดับ เมื่อสถานการณ์สงครามเลวร้ายลง ฮิตเลอร์ไม่ปรากฏตัวในที่สาธารณะและแทบไม่ค่อยเยือนกรุงเบอร์ลินอีก เขาใช้เวลาส่วนใหญ่ที่สำนักงานใหญ่ที่รังหมาป่า (โวลฟส์ซคันเซอ) ใกล้รัสเทินบวร์คในปรัสเซียตะวันออก โดยพักผ่อนเป็นบางครั้งที่โอเบอร์ซาลซ์บูร์ก สถานปลีกวิเวกแถบภูเขาในบาวาเรีย ใกล้แบร์ชเทิสกาเดิน ทั้งสองที่ เขามีการคุ้มกันแน่นหนาและแทบไม่พบผู้ที่เขาไม่รู้จักหรือเชื่อใจ ฮิมเลอร์และเกสตาโพทวีความสงสัยแผนลับต่อฮิตเลอร์ และเจาะจงสงสัยนายทหารเสนาธิการ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของการคบคิดที่กำลังดำเนินเอาชีวิตของฮิตเลอร์อยู่ไม่น้อยจริง ๆ

โอกาสสุดท้าย "ไม่ว่าต้องเสียอะไรก็ตาม"

เมื่อย่างเข้าฤดูร้อน ค.ศ. 1944 เกสตาโพสืบใกล้ถึงกลุ่มคบคิด ในเวลานั้น มีความรู้สึกว่าเวลากำลังหมดลง ทั้งในสมรภูมิ ซึ่งทหารในแนวรบด้านตะวันออกกำลังถอยเต็มรูปแบบ และฝ่ายสัมพันธมิตรยกพลขึ้นบกในประเทศฝรั่งเศสเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน และในประเทศเยอรมนี ซึ่งพื้นที่ดำเนินกลยุทธของผู้ก่อการหดลงอย่างรวดเร็ว ผู้ก่อการเชื่อว่าการลงมือปฏิบัติหนนี้เป็นโอกาสสุดท้าย ถึงขณะนี้ แกนนำผู้คบคิดเริ่มคิดว่าพวกตนชะตาขาด และการกระทำนั้นเป็นในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าเกิดผลจริง บางคนเริ่มมองความมุ่งหมายของการคบคิดว่าเป็นการรักษาเกียรติยศของตนเอง ครอบครัว กองทัพและประเทศเยอรมนีผ่านท่าทีอันสง่างาม แต่ไร้ผล มากกว่าเปลี่ยนทิศทางของประวัติศาสตร์จริง ๆ

ความเชื่อที่ว่า ผู้ก่อการประสบความสำเร็จสำคัญในต้นเดือนกรกฎาคมเมื่อสามารถชักชวนจอมพลแอร์วีน ร็อมเมิล "จิ้งจอกทะเลทราย" ผู้มีชื่อเสียง เข้าร่วมคณะได้ เป็นเรื่องเข้าใจผิด ร็อมเมิลเป็นนายทหารที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศเยอรมนีและไม่เคยให้การสนับสนุนแผนลับนี้ (วิทซ์เลเบินปลดประจำการตั้งแต่ ค.ศ. 1942) แม้ร็อมเมิลรู้สึกว่าเขาจำเป็นต้อง "มาช่วยประเทศเยอรมนี"แต่เขาเชื่อว่าการฆ่าฮิตเลอร์ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง และสมควรนำตัวฮิตเลอร์ขึ้นศาลอาชญากรรมมากกว่าการลอบสังหาร [14]

เมื่อชเตาเฟินแบร์คส่งสารถึงเทร็สโคผ่านร้อยโท ไฮนริช กรัฟ ฟ็อน เลนดอร์ฟ-สไทนอร์ท ถามว่ามีเหตุผลที่พยายามลอบฆ่าฮิตเลอร์อ่นหรือไม่หากไม่มีความมุ่งหมายทางการเมือง เทร็สโคตอบว่า "ต้องพยายามลอบสังหาร ไม่ว่าต้องเสียอะไรก็ตาม แม้มันล้มเหลว เราต้องลงมือปฏิบัติการในกรุงเบอร์ลิน เพราะความมุ่งหมายเชิงปฏิบัตินั้นไม่สำคัญอีกแล้ว สิ่งสำคัญตอนนี้ คือ ขบวนการต่อต้านเยอรมันต้องตัดสินใจเบื้องหน้าสายตาชาวโลกและประวัติศาสตร์ เมื่อเทียบกับสิ่งนั้นแล้ว สิ่งอื่นก็ไม่สำคัญ"[15]

ฮิมเลอร์เคยสนทนากับผู้ต่อต้านที่ทราบแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1943 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังปรัสเซีย โยฮันเนส โพพิทซ์ ซึ่งเกี่ยวข้องในเครือข่ายของเกอร์เดอเลอร์ มาพบข่าวและเสนอการสนับสนุนของเขาหากให้เขาแทนที่ฮิตเลอร์และรับประกันว่าสงครามยุติลงด้วยการเจรจา[16] การประชุมนี้ไม่มีผล แต่โพพิทซ์มิได้ถูกจับกุมทันที (แม้ภายหลังเขาถูกประหารชีวิตใกล้สงครามยุติ) และปรากฏว่าฮิมเลอร์มิได้ดำเนินการตามล่าเครือข่ายต่อต้านแต่อย่างใดซึ่งเขาทราบว่าปฏิบัติการอยู่ในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐฝ่ายประจำ เป็นไปได้ว่าฮิมเลอร์ ซึ่งปลาย ค.ศ. 1943 ทราบว่าสงครามนี้ไม่อาจเอาชนะได้ จึงปล่อยให้แผนลับดำเนินไปโดยทราบว่าหากแผนนั้นสำเร็จ เขาจะเป็นผู้สืบทอดของฮิตเลอร์ จากนั้นจะสามารถนำมาซึงข้อตกลงสันติภาพได้

โพพิทซ์ไม่ใช่ผู้เดียวที่มองฮิมเลอร์ว่ามีมีศักยภาพพอที่จะเป็นพันธมิตร จอมพลเฟดอร์ ฟ็อน บ็อค แนะนำเทร็สโคให้หาแรงสนับสนุนให้เขาแต่ไม่มีหลักฐานว่าเขาทำเช่นนั้น เกอร์เดอเลอร์ดูเหมือนว่าติดต่อกับฮิมเลอร์โดยอ้อมผ่านคนที่ทั้งสองรู้จัก คือ คาร์ล ลังเบน ไฮนซ์ เฮอเนอ นักชีวประวัติ และพลเรือเอกวิลเฮล์ม คานาริส หัวหน้าหน่วยข่าวกรองอับแวร์ เสนอว่า คานาริสและฮิมเลอร์กำลังร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงระบอบ แต่การอ้างดังกล่าวเป็นเพียงการคาดคะเน[17]

เทร็สโคและผู้ก่อการวงในไม่มีเจตนาถอดฮิตเลอร์เพียงเพื่อให้หัวหน้าเอ็สเอ็สที่น่าสะพรึงและอำมหิตมาแทนฮิตเลอร์ และแผนคือฆ่าทั้งสองคนหากเป็นไปได้ ถึงขนาดที่ความพยายามครั้งแรกของชเตาเฟินแบร์คเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมถูกยกเลิกเพราะฮิมเลอร์ไม่อยู่

แหล่งที่มา

WikiPedia: แผนลับ 20 กรกฎาคม http://www.atypon-link.com/OLD/doi/pdf/10.1524/VfZ... http://www.cbcpnews.com/?q=node/9249 http://books.google.com/?id=xoTWkzhf2uUC&pg=PA361&... http://histclo.com/essay/war/swc/force/wehr/res/wr... http://www.imdb.com/name/nm0102778/ http://www.imdb.com/title/tt0043461/ http://www.imdb.com/title/tt0047790/ http://www.imdb.com/title/tt0062038/ http://www.imdb.com/title/tt0100376/ http://www.imdb.com/title/tt0102778/